วันจันทร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2561


ประวัติและความหมาย

   ช็อกโกแลต หรือ ช็อกโกเลต (Chocolate)  คือ ผลิตผลที่ได้มาจากเมล็ดของต้นโกโก้เขตร้อน ช็อกโกแลตเป็นส่วนผสมของของหวานหลายชนิดไม่ว่าจะเป็นไอศกรีม ลูกอม คุกกี้ เค้ก หรือว่าพาย ช็อกโกแลตถือได้ว่าเป็นของหวานอย่างหนึ่งที่ถูกใจคนทั่วโลกช็อกโกแลตทำจากการหมัก คั่วและบดอย่างละเอียดของเมล็ดโกโก้ซึ่งได้มาจากต้นโกโก้เขตร้อน (tropical cacao tree) ซึ่งมีต้นกำเนิดจากอเมริกากลางและเม็กซิโก   ต้นโกโก้นั้นถูกค้นพบโดยชาวอินเดียนแดงและชาวอัซเตก (Aztecs) แต่ในปัจจุบันได้แพร่กระจายและปลูกไปทั่วเขตร้อน เมล็ดของต้นโกโก้นั้นมีรสฝาดที่เข้มข้นมาก ผลผลิตของเมล็ดโกโก้รู้จักกันในนาม “ช็อกโกแลต” หรือบางส่วนของโลกในนาม “โกโก้”ผลิตภัณฑ์จากเมล็ดโกโก้รู้จักภายใต้หลายชื่อแตกต่างกันไปในส่วนต่าง ๆ ของโลก ในอเมริกาอุตสาหกรรมช็อกโกแลตได้จำกัดความไว้ว่า
-โกโก้ (cocoa) คือเมล็ดของต้นโกโก้
-เนยโกโก้ (cocoa butter) คือไขมันของเมล็ดโกโก้
-ช็อกโกแลต (chocolate) คือส่วนผสมระหว่างเมล็ดของต้นโกโก้และเนย-โกโก้
ช็อกโกแลตคือส่วนผสมระหว่างเมล็ดของฝักถั่วโกโก้และเนยโกโก้ ซึ่งได้ผสมน้ำตาลและส่วนผสมอื่น ๆ และถูกทำให้อยู่ในรูปของแท่งและรูปอื่น ๆเมล็ดของต้นโกโก้นอกจากทำเป็นช็อกโกแลตได้แล้วยังสามารถทำเป็นเครื่องดื่มได้ด้วย เช่น ช็อกโกแลตร้อน เครื่องดื่มช็อกโกแลตนั้นได้ถูกคิดค้นขึ้นโดยชาวอัซเตก (Aztecs) หลังจากนั้นโดยชนเผ่าอินเดียนแดงและชาวยุโรป บ่อยครั้งที่ช็อกโกแลตมักจะถูกทำให้อยู่ในรูปของสัตว์ต่าง ๆ คน หรือวัตถุในจินตนาการ  เพื่อร่วมงานเฉลิมฉลองต่าง ๆ ทั่วโลก เช่น รูปกระต่าย รูปทรงไข่ในเทศกาลอีสเตอร์  รูปของเหรียญหรือซานตาคลอสในเทศกาลคริสต์มาส และรูปทรงหัวใจในเทศกาลวาเลนไทน์

ประเภทของช็อกโกแลต


ช็อกโกแลตที่ไม่ได้เพิ่มความหวาน

ช็อกโกแลตที่ไม่ได้เพิ่มความหวาน (unsweetened chocolate) คือ ช็อกโกแลตเหลวบริสุทธิ์หรือที่รู้จักกันในนาม ช็อกโกแลตฝาด ใช้ในการอบอาหาร และเป็นช็อกโกแลตที่ไม่มีการเจือปนใด ๆ ทั้งสิ้น ช็อกโกแลตชนิดนี้จะมีรสชาติเข้มข้มและลุ่มลึกของช็อกโกแลตบริสุทธิ์ แต่อย่างไรก็ดีเมื่อมีการเพิ่มน้ำตาลเข้าไป ช็อกโกแลตชนิดนี้จะใช้เป็นส่วนผสมหลักในการทำบราวนี เค้ก ลูกกวาด และคุกกี้

ช็อกโกแลตดำ

ช็อกโกแลตดำ (dark chocolate)
ส่วนผสมหลักในช็อกโกแลตซึ่งได้แก่โกโก้นั้นมีสารฟลาโวนอยด์ที่มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระและมีสรรพคุณกระตุ้นการหลั่งเอนดอร์ฟินทำให้ผู้รับประทานมีความสุขช็อกโกแลตดำจะต้องมีโกโก้แมสเป็นส่วนประกอบไม่ต่ำกว่าร้อยละ 35 (สหรัฐอเมริกา แค่ร้อยละ 15 )ทั้งนี้ จากการสำรวจของทีมงานฉลาดซื้อพบว่า ช็อกโกแลตนมธรรมดา ที่ไม่ได้เรียกตัวเองว่าช็อกโกแลตดำนั้น บางยี่ห้อมีปริมาณโกโก้อยู่ถึงร้อยละ 38 ส่วนปริมาณน้ำตาล มีตั้งแต่ร้อยละ 23-65เกือบ ร้อยละ 40 ของผลผลิตโกโก้มาจากประเทศไอวอรี โคสต์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตโกโก้รายใหญ่ที่สุดของโลก รองลงมาได้แก่ประเทศ กานา และอินโดนีเซียกลางเดือนที่ผ่านมา ราคาโกโก้ในตลาดนิว ยอร์กอยู่ที่ตันละ 3,000 เหรียญ
นัก วิเคราะห์บอกว่า ในวันนี้ช็อกโกแลต 1 แท่ง ราคา 100 บาท ในนั้นมีค่าต้นทุนโกโก้เพียง 6-8 บาทเท่านั้น ที่เหลือเป็นราคาต้นทุนของส่วนผสมอื่นๆ เช่น นม น้ำตาล แต่ที่สำคัญกว่านั้น คือ ค่าใช้จ่ายในการผลิต ค่าจัดจำหน่าย ค่าโฆษณาและกำไรของผู้ผลิต จาก การวิจัยที่ทำกับผู้หญิงสวีเดน อายุ ระหว่าง 48-83 ปี กว่า 30,000 คน ระหว่างปีค.ศ.1998-2006 พบว่าผู้ที่รับประทานช็อกโกแลตในปริมาณเล็กน้อยเป็นประจำ มีความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจล้มเหลวน้อยกว่าคนทั่วไป โดยช็อกโกแลตที่พวกเธอรับประทานมีส่วนผสมของโกโก้ในปริมาณเข้มข้นนักวิจัยชาวสเปนแจ้งว่า การกินดาร์กช็อกโกแลตเป็นผลดีต่อสุขภาพ จนอาจกลายมาเป็นยารักษาโรคตับแข็งอย่างมีประสิทธิภาพในอนาคตได้ เพราะเมื่อดูจากผลการทดลองโดยให้ผู้ป่วยโรคตับแข็งระยะสุดท้ายรับประทาน “ดาร์กช็อกโกแลต” เป็นประจำหลังอาหารก็พบว่า หลอดเลือดที่เสื่อมสภาพในเซลล์ตับถูกฟื้นฟูและขยายตัวขึ้นทั้งนี้เป็นเพราะในผลโกโก้ที่นำมาผลิตช็อกโกแลตนั้น มีสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด จึงสามารถช่วยทำความสะอาดและขยายหลอดเลือดนั่นเอง

ช็อกโกแลตนม

ช็อกโกแลตนม (milk chocolate) คือช็อกโกแลตที่ผสมนมหรือนมข้นหวาน รัฐบาลสหรัฐฯ กำหนดว่าหากจะเรียกว่าช็อกโกแลตนม ต้องมีส่วนผสมของช็อกโกแลตเหลวบริสุทธิ์เข้มข้น 10% แต่ทางยุโรปได้กำหนดให้มีส่วนผสมของเมล็ดโกโก้อย่างน้อย 25% ช็อกโกแลตชนิดนี้มีส่วนผสมของเนยโกโก้ (cocoa butter) นม และยังเพิ่มความหวานและรสชาติลงไปด้วย ช็อกโกแลตนมนี้ใช้สำหรับแต่งหน้าขนมได้เป็นอย่างดี ช็อกโกแลตนมที่ทำในประเทศสหรัฐฯ ต้องประกอบด้วยน้ำช็อกโกแลตอย่างน้อย 10% และนมที่ไม่ได้เอามันเนยออก 12%
whitechoc
งานวิจัยเอาใจคนรัก “ช็อกโกแลต” ออกมาอีกแล้ว  โดยผลงานล่าสุดเป็นของนักวิทยาศาสตร์ในสหรัฐ  ออกมาแจ้งข่าวดีว่าการกินช็อกโกแลตนมจะช่วยให้สมองทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น  เพราะในช็อกโกแลตเต็มไปด้วยสารต่างๆมากมายที่ทำหน้าที่เหมือนดัวกระตุ้น อาทิ สารทิโอโบรมีน (Theobromine)  สารฟีนีไทลามีน (phenethylamine ) และกาเฟอีน (caffeine)  ที่สำคัญสารเหล่านี้เคยมีการศึกษาและสรุปออกมาว่าช่วยเพิ่มความว่องไวและความกระตือรือล้นให้แก่ผู้ที่กินเข้าไป  ซึ่งสิ่งเหล่านี้เราค้นพบได้จากผู้ที่กินช็อกโกแลต  พวกเขาจะมีปฏิกริยาตอบสนองที่ตื่นตัวมากขึ้น  อีกทั้งยังเพิ่มความสดชื่นให้สภาพจิตใจอีกด้วย
ทั้งนี้ มีคำถามต่ออีกว่าช็อกโกแลตแบบไหนมีผลต่อสมองอย่างไร  โดยเขาและทีมงานได้หาอาสาสมัครมาทำงานที่น่าอิจฉา (มาก มาก) นั่นคือกิน ให้กินช็อกโกแลตนม (milk chocolate) 85 กรัม กินช็อคโกแลตดำ (dark chocolate) 85 กรัม  กินถั่วเครอบ (carob) 85 กรัมเช่นกัน  และสุดท้ายไม่กินอะไรเลยเป็นสภาวะควบคุมหลังจากผ่านไป 15 นาที  อันเป็นช่วงการย่อย  อาสาสมัครก็จะได้รับการทดสอบในรูปแบบต่างๆโดยประมวลผลผ่านระบบที่ออกแบบด้วยคอมพิวเตอร์เพื่อวัดการสั่งงานของสมอง  ไม่ว่าจะเป็นการทดสอบความจำ การทดสอบความสนใจใส่ใจที่เพิ่มขึ้น ปฏิกริยาตอบสนองและการแก้ปัญหาผู้ที่กินช็อกโกแลตนมมีผลการตอบสนองอย่างมีนัยสำคัญ  ไม่ว่าจะเป็นทั้งในส่วนของความจำและการตอบโต้  อีกทั้งผู้ที่กินช็อกโกแลตนมและดาร์กช็อกโกแลตต่างก็เพิ่มระดับการควบคุมตัวเองและปฏิกริยาตอบสนองได้มากพอๆกัน
งานวิจัยก่อนหน้านี้ที่ชี้ให้เห็นว่าสารอาหารบางชนิดไปกระตุ้นการปล่อยกลูโคสและเพิ่มการหมุนเวียนโลหิต  ซึ่งช่วยเสริมการทำงานของส่วนความจำ  ซึ่ง ดร.ไบรอัน เราเดนบุช ผู้ทำการวิจัยครั้งล่าสุดก็กล่าวเช่นกันว่า ในช็อกโกแลตนี่หละที่มีสารอาหารประเภทนั้น  หากรับประทานช็อกโกแลตเข้าไปก็จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้สมองส่วนความจำทำงานได้ดีขึ้น

ช็อกโกแลตลิเคียวร์

เป็นผลผลิตจากเมล็ดโกโก้นำมาบดละเอียด แล้วนำมาคั้นเอาแต่น้ำ น้ำช็อกโกแลตนี้สามารถทำให้เย็นและทำให้แข็งตัวโดยใส่พิมพ์ไว้ แต่ช็อกโกแลตที่ได้เป็นชนิดที่ไม่หวาน น้ำช็อกโกแลตนี้จะมีส่วนผสมของโกโก้บัตเตอร์ประมาณ 53%

ช็อกโกแลตกึ่งหวาน

ช็อกโกแลตกึ่งหวาน (semi-sweet) อยู่ในรูปของเหลวแล้วเพิ่มความหวานและใส่เนยโกโก้ลงไปด้วย สีของช็อกโกแลตชนิดนี้สีจะเข้ม ตามมาตรฐานของสหรัฐฯ จะมีส่วนผสมของน้ำช็อกโกแลตประมาณ 35% และมีไขมันประมาณ 27% ช็อกโกแลตชนิดนี้จะมีรสหวานเล็กน้อยและกลมกล่อม

ช็อกโกแลตหวาน

ช็อกโกแลตหวาน (sweet chocolate) ช็อกโกแลตชนิดนี้จะเพิ่มความหวานลงไปมากกว่าช็อกโกแลตแบบหวานน้อย และมีส่วนผสมของน้ำช็อกโกแลตอย่างน้อย 1 % ช็อกโกแลตชนิดนี้ใช้เป็นส่วนประกอบสำคัญในการทำขนมและตกแต่งขนม และยังมีไขมันเท่า ๆ กับช็อกโกแลตแบบหวานน้อย

ช็อกโกแลตขาว

ช็อกโกแลตขาว (white chocolate) ชนิดนี้มีส่วนผสมของเนยโกโก้ แต่ไม่มีโกโก้ที่อยู่ในรูปของไขมัน แต่จะประกอบไปด้วยน้ำตาล เนยโกโก้ นมสด และใส่กลิ่นวานิลลาลงไปด้วย ช็อกโกแลตขาวนี้จะแตกหักง่าย หากเป็นของปลอมจะทำมาจากน้ำมันพืชมากกว่าเนยโกโก้

จากต้นโกโก้มาเป็นช็อคโกแล็ตได้อย่างไร ?
ในหนึ่งปีต้นโกโก้ที่มีการเจริญเต็มที่อาจจะมีดอกประมาณ 6000 ดอก แต่มีฝักโกโก้ (ผลโกโก้: cacao pod)  เพียง 20 ฝัก ภายในฝักจะมีเมล็ดโกโก้ (cacao seed/bean) อยู่ข้างใน เมล็ดโกโก้เหล่านี้  ได้ถูกนำมาแปรรูปเป็นช็อคโกแล็ตแสนอร่อยสำหรับคอช็อคโกแล็ตทุกเพศทุกวัยนั่นเอง


ผลโกโก้สุก พร้อมเก็บเกี่ยว
  ช็อกโกแล็ตที่แท้จริงต้องทำมาจากเมล็ดโกโก้เท่านั้น โดยขั้นตอน การทำเริ่มตั้งแต่  เมล็ดโกโก้ถูกแกะออกมาจากผล แล้วนำไป-ผ่านกระบวนการหมักเป็นเวลา 5-6 วัน เซลสืบพันธุ์ (germ) ที่ติดอยู่กับเมล็ดโกโก้จะตายไประหว่างการหมัก ทำให้เมล็ดโกโก้เกิดรูพรุนและมีสีน้ำตาล  นอกจากนี้ในขั้นตอนการหมักช่วยทำให้ความขมลดลงและทำให้เกิดกลิ่นที่ดีขึ้น เหมาะสำหรับการนำไปใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตช็อกโกแล็ต
    เมื่อกระบวนการหมักเสร็จสิ้น เมล็ดโกโก้ถูกนำมาตากให้แห้งประมาณ 1-2    สัปดาห์ เพื่อลดระดับความชื้น จาก 60 เปอร์เซ็นต์ให้เหลือเพียงประมาณ 7 เปอร์เซ็นต์ หลังจากนั้นเมล็ดโกโก้จะถูกนำไปทำความสะอาด  คัดคุณภาพ บรรจุและขนส่งเพื่อนำไปผลิตเป็นช็อคโกแล็ต
ก่อนการผลิตช็อคโกแล็ต เมล็ดโกโก้แห้งถูกนำมาคั่วตั้งแต่ 10 นาทีไปจนถึง 30 นาที  ที่อุณหภูมิ 120-130 องศาเซลเซียส (บางกรณีอาจใช้อุณหภูมิต่ำกว่านี้เล็กน้อย) ขั้นตอนการคั่วเป็นขั้นตอน ที่สำคัญซึ่งมีผล-กระทบต่อรสชาติสุดท้ายของช็อคโกแล็ต เมื่อคั่วเสร็จแกลบหรือเปลือกที่ห่อหุ้มเมล็ดโกโก้ อยู่จะถูกกำจัดออกโดยการร่อนและใช้ลมเป่า หลังจากกำจัดส่วนที่ไม่ต้องการออกไปแล้วเมล็ดส่วนที่เหลือ ถูกเรียกว่า Cacao kernel หรือ Cacao nib

ผลโกโก้ตากแห้ง
Cacao nib ถูกนำไปบดด้วยความเร็วสูงและที่อุณหภูมิสูงด้วยเช่นกัน เพื่อทำให้ cacao nib  เปลี่ยนเป็นสีดำน้ำตาล หนืด เรียกว่า cacao liquor หรือ cacao paste ซึ่งมีไขมันโกโก้(cocoa butter)  เป็นองค์ประกอบประมาณ 53-55 เปอร์เซ็นต์
cacao liquor ยังไม่มีรสชาติที่หวานและความขมยังค่อนข้างสูงจึงไม่เหมาะต่อการรับ-ประทาน จึงถูกนำไปอัดใส่บล็อครูป สี่เหลี่ยมให้เป็นแท่งสำหรับนำไปใช้ในอุตสาหกรรมเบเกอรี่และการทำอาหารบางชนิด รวมทั้งถูกนำไปใช้เป็นวัตถุดิบหลัก ของการผลิตช็อคโกแล็ตสำหรับทานทั่วไป
ในอุตสาหกรรมการผลิตช็อคโกแล็ตนอกจากมี cacao liquor เป็นวัตถุดิบหลักแล้ว ยังต้องเติมส่วนผสมอื่นๆ ได้แก่ น้ำตาล  ไขมันโกโก้ (cocoa butter) ซึ่งเป็นไขมันที่สกัดมาจากเมล็ดโกโก้ เมื่อนำส่วนผสมดังกล่าวมาคลุกเคล้ากันแล้ว ขั้นตอน สุดท้ายที่สำคัญซึ่งช่วยเพิ่มความอร่อยให้ช็อคโกแล็ตยิ่งขึ้นคือกระบวนการ counching
counching เป็นกระบวนการที่ทำให้อนุภาคของน้ำตาลและโกโก้มีขนาดเล็กเกินกว่าที่ลิ้นของเราจะสัมผัสกับอนุภาค-เหล่านั้นได้  ซึ่งทำได้โดยการบดด้วยลูกกลิ้ง ดังนั้นเมื่อเราทานช็อคโกแล็ตจึงทำให้รู้สึกว่าเนื้อช็อคโกแล็ตนั้นนุ่มเรียบ (smooth feel) ช็อคโกแล็ต ที่มีคุณภาพสูงต้องใช้กระบวนนี้ถึงสามวัน ส่วนช็อคโกแล็ตที่มีคุณภาพต่ำใช้เวลาเพียงหกชั่วโมงเท่านั้น ในขั้นตอนนี้อาจเติมสาร ปรุงกลิ่นรสต่างๆ เช่น วานิลา (vanilla) ซินนาม่อน (cinnamon) เพื่อเพิ่มความหอมอร่อยยิ่งขึ้น
หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการ counching ช็อคโกแล็ตจะถูกเก็บไว้ในถังซึ่งต้องควบคุมอุณหภูมิไว้ประมาณ 45-50 องศาเซลเซียส  เพื่อรอนำไปขึ้นรูปเป็นรูปแบบต่างๆตามที่ผู้ผลิตต้องการ ต่อมาถูกนำไปผ่านขั้นตอนสุดท้ายคือการลดอุณหภูมิเพื่อให้ช็อคโกแล็ต มีรูปร่างคงที่ตามต้องการก่อนที่จะบรรจุและนำจำหน่ายตามท้องตลาดซึ่งปัจจุบันมีช็อคโกแล็ตหลากหลายรูปแบบที่ผู้ผลิตได้พัฒนา ออกมาสำหรับผู้ที่หลงใหลในช็อคโกแล็ตได้ทานกันทั่วโลก

โกโก้ vs ช็อคโกแลต

  • ช็อกโกแลต จะได้มาจาก Cocoa Liquor ที่ถูกทำให้เป็นผงโดย ไม่แยกไขมันโกโก้ออกมาหรือรีดไขมันออกไปเพียงเล็กน้อย ทำให้ผงช็อกโกแลตนี้มีปริมาณไขมันมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์
  • โกโก้ จะได้มากจาก Cocoa Liquor ที่ถูกทำให้เป็นผงโดย รีดไขมันโกโก้ออกไปจนหมด หรือเกือบหมด ที่วางขายอยู่ทั่วไปเป้นโกโก้ที่มีไขมัน 0 – 25 เปอร์เซ็นต์

1. มีสารต้านอนุมูลอิสระ

โกโก้อุดมไปด้วยโพลีฟีนอล (Pholyphenols) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ มักพบในผัก ผลไม้ ชา ช็อคโกแลต และไวน์ ช่วยลดการอักเสบ ช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดี ลดความดันโลหิต และยังช่วยควบคุมคอเลสเตอรอลและน้ำตาลในเส้นเลือดอีกด้วย แต่กระบวนการในการแปรรูปเป็นช็อคโกแลตหรือผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ก็อาจจะทำให้โพลีฟีนอล (Pholyphenols) ลดลงได้

2. ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ

ฟลาโวนอยด์ในโกโก้ จะไปช่วยเพิ่มไนตริกออกไซด์ ที่มีส่วนช่วยเรื่องเลือกและหัวใจ ช่วยระบบไหลเวียนเลือดทำงานได้ดี ช่วยขยายหลอดเลือดลดความตึงเครียดของหลอดเลือด ช่วยลดคอเลสเตอรอลตัวร้าย (LDL) จึงส่งผลดีต่อหัวใจ ลดความเสี่ยงโรคเกี่ยวกับหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง (อัมพฤกษ์อัมพาต)

3. บำรุงสมอง

ฟลาโวนอยด์ในโกโก้จะช่วยเรื่องการทำงานของระบบประสาทและสมอง ช่วยป้องกันการเสื่อมสภาพของเซลล์สมอง ช่วยเรื่องความจำ ความคิด การตัดสินใจ การรับรู้ และสามารถป้องกันโรคอัลไซเมอร์ในผู้สูงอายุได้

4. ช่วยให้อารมณ์ดี

จากการศึกษาหลายการศึกษาพบว่า การกินโกโก้ส่งผลดีต่ออารมณ์ และภาวะซึมเศร้า ช่วยลดความเครียด และรทำให้ผ่อนคลาย คาดว่าในโกโก้อาจจะมีสารที่ไปกระตุ้นให้สมองหลั่ง สารโดปามีน และสารเซโรโทนิน (สารแห่งความสุข) จึงทำให้คนเรามีอารมณ์ดีและมีความสุขหลังได้ดื่มหรือกิน

5. ลดความเสี่ยงโรคเบาหวาน

หลายคนรู้กันดีว่าช็อคโกแลต ถ้ากินมาก ๆ จะไปเพิ่มระดับน้ำตาลในร่างกาย แต่ไม่ใช่สำหรับโกโก้และดาร์กช็อคโกแลต เพราะสามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นเบาหวาน และช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ฟลาโวนอยด์ ในโกโก้จะช่วยชะลอการย่อยและการดูดซึมคาร์โบไฮเดรตในลำไส้ โดยจะไปกระตุ้นการหลั่งอินซูลิน ที่เป้นฮอร์โมนที่ควบคุมการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต

6. ควบคุมน้ำหนัก

สารโพลีฟีนอล (Polyphenol) ในโกโก้ นอกจากจะช่วยเรื่องการไหลเวียนเลือดแล้ว ยังซึ่งเป็นช่วยเร่งการเผาผลาญในร่างกายด้วย จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้โกโก้เหมาะกับคนที่ลดน้ำหนัก จากการศึกษาพบว่า คนที่กินช็อคโกแลตบ่อยกว่ามีค่าดัชนีมวลกาย (BMI) ต่ำกว่าคนที่ไม่กินช็อคโกแลต แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องเลือกกินให้ถูกวิธีด้วย

7. รักษาโรคหอบหืด

ในโกโก้มีสารธีโอโบรมีน (Theobromine) ที่ช่วยบรรเทาอาการไอเรื้อรัง และสารธีโอฟิลลีน (Theophylline) ที่ช่วยช่วยขยายปอด ให้หายใจได้สะดวกมากยิ่งขึ้น จากการทดลองกับสัตว์พบว่า โกโก้สามารถช่วยรักาาอาหารหืดหอบได้ ช่วยขยายทางเดินหายใจ และลดการหนาตัวของเนื้อเยื่อในระบบทางเดินหายใจ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นยังไม่มีการศึกษาเรื่องนี้กับมนุษย์

8. ฟันสวย ผิวใส

โกโก้ดีต่อสุขภาพฟัน สามารถป้องกันแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของฟันผุ แถมยังดีต่อสุขภาพผิว ช่วยให้ผิวแข็งแรง ฟลาโวนอยด์จะช่วยป้องกันรังสียูวีจากแสงอาทิตย์ และช่วยคงความชุ่มชื้นให้ผิว จากงานวิจัยในวารสารโภชนาการของยุโรปพบว่า การกินหรือดื่มโกโก้เป็นเวลานาน 12 สัปดาห์ ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นขึ้น 25% เลยทีเดียว

ข้อควรระวัง!

การกินโกโก้ให้ได้ผลดีควรจะกินโกโก้ 100% ผสมกับน้ำเปล่า ผลิตภัณฑ์โกโก้แปรรูปที่วางขายอยู่ทั่วไป ไม่ว่าจะเป็น ช็อคโดแลตแท่ง ขนม เบเกอรี่ต่าง ๆ ล้วนแล้วแต่มีส่วนผสมของน้ำตาล ครีม นมต ซึ่งโกโก้ที่เรากินเข้าไปก็จะไม่ใช่โกโก่้ 100% อีกต่อไปแล้ว เพราะฉะนั้นก็ควรจะเลือกกินให้ดี ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นเสียสุขภาพแทนนะค



.....ดื่มโกโก้ช่วยบำรุงสมอง จริงหรือ?





.....ดื่มโกโก้อุ่นวันละแก้วช่วยเพิ่มความจำ จริงหรือ ?




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ประวัติและความหมาย    ช็อกโกแลต หรือ ช็อกโกเลต (Chocolate)   คือ ผลิตผลที่ได้มาจากเมล็ดของต้นโกโก้เขตร้อน ช็อกโกแลตเป็นส่วนผสมของขอ...